Trending News

Subscribe Now

6 สัญญาณที่บอกว่าคุณทำงานหนักเกินไปแล้ว – เช็คสักหน่อยก่อนจะสาย…

6 สัญญาณที่บอกว่าคุณทำงานหนักเกินไปแล้ว – เช็คสักหน่อยก่อนจะสาย…

Article | Living

การทำงานในปัจจุบันไม่ว่าจะรูปแบบ WFH, เข้าออฟฟิศ หรือแม้แต่แบบ Hybrid เราต่างก็ต้องยอมรับว่าเราทำงานหนักกว่าที่เคย

โดยที่หลายๆ คนอาจลืมไปว่าการทำงานหนักที่สะสมเป็นระยะเวลานานนั้น จะกลายเป็นบ่อเกิดหายนะทางสุขภาพในแบบที่เราคาดไม่ถึงได้ จากการศึกษาล่าสุดขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ พบว่า คนที่ทำงานเกิน 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและเส้นเลือดในสมองแตก 

ซึ่ง “การเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไป” ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามคืน ความอันตรายของการค่อยๆ คืบคลานนี้จึงทำให้หลายคนมองข้ามปัญหาสุขภาพไปได้ แต่อาการต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ไม่ว่าจะภาวะสมองล้า ความดันโลหิตสูง อาการเหนื่อยล้า และปวดหัว แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนสัญญาณเตือนว่ามันถึงเวลาที่เราจะต้องหันกลับมาใส่ใจสุขภาพได้แล้ว 

เพียงแต่คนทำงานหลายคนก็เลือกที่จะมองข้ามอาการเหล่านี้ไป เพราะคอยแต่จะให้ความสำคัญกับ “ประสิทธิภาพ” ในการทำงานมากกว่า โดย Adam Borland นักจิตวิทยาได้เปรียบเทียบไว้ว่าการกระทำแบบนี้ เหมือนกับการที่เราพยายามขับรถต่อไปทั้งๆ ที่น้ำมันใกล้จะหมดถังแล้ว ซึ่งถ้ามองกันในระยะยาวแล้ว ไม่มีอะไรที่คุ้มค่าที่จะแลกเลย วันนี้เราจึงมี 6 ข้อสังเกต ที่จะช่วยให้เราได้เช็คตัวเองว่าน้ำมันของเราใกล้หมดแล้ว


‘6 สัญญาณอันตรายที่เตือนว่าคุณกำลังมีปัญหา Work-Life Balance’

  1. คุณเลิกสนใจหรือไม่ใส่ใจตัวเอง
  2. คุณนอนไม่เป็นเวลา
  3. คุณทานไม่เป็นเวลา หรือ ทานน้อยกว่าปกติ 
  4. คุณออกกำลังกายไม่เพียงพอ
  5. คุณหันไปพึ่งยานอนหลับ ยาแก้เครียด หรือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างมันท่วมท้น
  6. คุณไม่ใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ หรือแม้แต่พลาดนัดสำคัญๆ บ่อยๆ

หากคุณมีปัญหาเหล่านี้เพียงแค่ข้อใดข้อหนึ่งก็แสดงว่าร่างกายของคุณเริ่มจะส่งสัญญาณบางอย่างแล้ว วิธีที่ควรปรับใหม่แทนการดื่มกาแฟเพิ่ม หรือหาอะไรหวานๆ ทาน เพื่อบูสต์พลังแบบชั่วคราว คุณอาจลองหันมาสร้างรูปแบบการทำงานที่ชัดเจนขึ้นแทน เช่น เสาร์อาทิตย์ตั้งกฎไว้ว่าจะไม่แตะงานเลย หรือถ้าทำได้ลองเลือกที่จะไม่รับโทรศัพท์นอกเวลางาน

เพราะการพักผ่อนให้เต็มที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีกว่าและได้ศักยภาพมากกว่า ซึ่งหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เราจับสังเกตร่างกายของเราได้ดีขึ้น ก็คือ การสำรวจร่างกายอยู่เสมอ หรือ ลองฝึกเล่นโยคะ เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะทำให้เราได้สำรวจตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ว่าเรากำลังมีอาการเจ็ดปวดร่างกายส่วนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า และเราไม่ควรมองข้ามอาการเหล่านี้ เพื่อที่จะเราจะได้ดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม
 


ดังนั้นถ้าคราวหน้าคุณมีงานที่จะต้องเร่งทำให้เสร็จภายใน 9 โมงของเช้าวันต่อไป แทนที่จะทู่ซี้ปั่นงานจนไม่หลับไม่นอน ให้คุณเลือกนอนหลับให้เต็มที่แล้วตื่นมาทำงานตอนเช้าแทนเพื่อให้สมองสดชื่นและคิดงานได้โลดแล่นกว่าที่เคย


อ้างอิงจาก – 6 red flags your body is breaking down from overwork


เรื่อง:  ป่าน – อดามาส
Content Creator ผู้ชอบงานเขียนมากกว่าทุกสิ่ง และชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตที่หาคำตอบไม่ค่อยเจอ

Related Articles

Techsauce ประกาศเปิดตัว และเผย 5 เทรนด์แห่งอนาคตอันใกล้ ที่คนทำงานควรรู้

“อะไรคือแรงผลักดัน ให้เราใช้เวลาในชีวิตเพื่อบางสิ่ง” ซึ่งเป็นคำโปรยที่พูดถึงการตั้งความหวังว่าจะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

Article | Business | Digital Marketing

ปั้นคอนเทนต์แบรนด์ให้ปังในปี 2022 ด้วย 6 ทริคจาก Instagram

อย่างที่ทุกคนรู้ว่าการทำโซเชียลคอนเทนต์ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย บรรดา Content Creator จึงต้องคอยอัปเดตเนื้อหาในเทรนด์อยู่เสมอ

Article | Digital Marketing

เตรียมตัวรับมืออย่างไร เมื่อชีวิตการงานของเราต้องเป็นหัวหน้าที่อายุน้อย

เพราะตัวเลขของอายุไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จของคนในยุคปัจจุบันสักเท่าไหร่ อีกทั้งคนที่ประสบความสำเร็จเองก็ดูท่ามีอายุที่น้อยลงเรื่อยๆ อย่างวลีที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยครั้งอย่าง อายุน้อยร้อยล้าน แต่ปัจจัยหนึ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่อเราประสบความสำเร็จคือวุฒิภาวะและประสบการณ์ที่อาจจะยังไม่เจนจัดหรือเก๋าเกมพอที่จะควบคุมหรือรับมือกับบางสถานการณ์ได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะคนที่ก้าวขึ้นมาในตำแหน่ง ‘หัวหน้า’ เพราะเรื่องของคนเป็นเรื่องของประสบการณ์หรือการแก้ไขปัญหาล้วนแต่เป็นทักษะเฉพาะตัวของแต่ละคน ไม่มีคำตอบในตำราหรือชีวิตมหาวิทยาลัยที่ถูกต้อง…

Article | Living