Trending News

Subscribe Now

เมืองที่ Work-life balance ดีที่สุดในโลก เขามีอะไร ทำไมโคเปนเฮเกนถึงได้ตำแหน่งนี้ไป

เมืองที่ Work-life balance ดีที่สุดในโลก เขามีอะไร ทำไมโคเปนเฮเกนถึงได้ตำแหน่งนี้ไป

Article | Living

“ความสมดุลระหว่างชีวิต และการทำงานเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในเดนมาร์ก ซึ่งทำให้ผู้คนมีความภาคภูมิใจในงานของตน”

หนึ่งในสโลแกนที่บอกเล่าถึงคุณภาพชีวิตสุดภาคภูมิใจของชาวเดนมาร์ก ซึ่งปัจจัยขั้นพื้นฐานนี้ได้ส่งให้ โคเปนเฮเกนเมืองหลวงของเดนมาร์ก กลายเป็นเมืองที่มี Work-life balance ดีที่สุดในโลก จากการจัดอันดับโดย Forbs ปี 2023 

การจัดการความสมดุลของ Work-life balance ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญ ความสมดุลของชีวิตเป็นเรื่องยากที่เราไม่สามารถควบคุมมันได้ แต่ถึงจะยากแค่ไหน เดนมาร์กก็สามารถสร้างให้โคเปนเฮเกนเป็นหนึ่งในเมืองต้นแบบที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างงาน และชีวิตส่วนตัวได้อย่างดี

เรามาดูกัน ว่าทำไมเมืองแห่งนี้ ถึงถูกเรียกว่าเมืองที่มี Work-life balance ดีที่สุดในโลก

1. ทำงานเฉลี่ยสัปดาห์ละ 37 ชั่วโมง

แนวทางการทำงานของชาวโคเปนเฮเกน ที่อาศัยอยู่ในเดนมาร์ก เน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว ซึ่งคนที่นี่ทำงานเฉลี่ยสัปดาห์ละ 37 ชั่วโมง และพวกเขาทำงานถึงแค่ 5 โมงเย็นเท่านั้น ชาวโคเปนเฮเกนไม่ค่อยได้ทำโอที หรือถ้าต้องอยู่ทำโอที ก็จะเอาเวลามาลดจำนวนงานในวันถัดไป

ชั่วโมงการทำงานที่สั้นลงนี้ ช่วยให้คนทำงานแต่ละคนมีเวลาอยู่กับครอบครัว งานอดิเรก และกิจวัตรส่วนตัวมากขึ้น นั่นจึงทำให้ชาวโคเปนเฮเกนสามารถรักษาสมดุลที่ดีระหว่างการทำงาน กับการพักผ่อนได้อย่างดี

2. ไลฟ์สไตล์แบบ Hygge

ชาวโคเปนเฮเกนต่างมีไลฟ์สไตล์แบบฮุกกะ (hygge) ของชาวเดนมาร์กฝังหัวไว้เสมอ ซึ่งไลฟ์สไตล์แบบฮุกกะนี้ เป็นวิถีชีวิตที่เน้นไปที่การใช้เวลาในการดูแลตัวเองกับผู้อื่นอย่างเรียบง่าย มันสร้างความผ่อนคลายในจิตใจ ทำให้คนเดนมาร์กเพลิดเพลินกับความสงบสุขในชีวิตได้  

การที่คนโคเปนเฮเกนให้ความสำคัญกับความสุขในช่วงเวลาต่าง ๆ ของทุกวัน ทำให้เดนมาร์กกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ตลอดจนช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในชุมชน และความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับผู้อยู่อาศัยทุกคน

3. ช่วงเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น

โคเปนเฮเกน สามารถเลือกเวลา เข้า-ออกงานแบบยืดหยุ่น (Flexible working) ได้มานานแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้คนสามารถเลือกสถานที่ และเวลาทำงานได้ ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้ผู้คนสามารถจัดการเวลาได้ดีขึ้น ลดความเครียดจากการเดินทาง ไปจนถึงสร้างความสมดุลระหว่างงานกับกิจวัตรส่วนตัวได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ

4. นโยบายการทำงานที่เป็นมิตรต่อครอบครัว

โคเปนเฮเกนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในเรื่องนโยบายที่เป็นมิตรต่อครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการลางานที่พนักงานสามารถลาพักร้อนโดยยังได้รับค่าจ้าง แถมสวัสดิการของรัฐยังช่วยให้พ่อแม่มือใหม่ของเดนมาร์ก สามารถลางานเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้ถึง 52 สัปดาห์ เพื่อช่วยให้พวกเขาได้ผูกพันกับลูกในช่วงเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนา 

นอกจากนั้นรัฐบาลยังส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และความรับผิดชอบร่วมกันในการเลี้ยงดูบุตร นโยบายดังกล่าวสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลสำหรับครอบครัว ซึ่งช่วยให้ผู้ปกครองมีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น

5. สวัสดิการสังคมที่ดี

ระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมของเดนมาร์ก มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความสมดุลระหว่างชีวิต และการทำงานในโคเปนเฮเกน เราสามารถเรียนรู้ได้จากการจัดอันดับดัชนีความสุขโลก, การจัดอันดับความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ, ชั่วโมงทำงานโดยเฉลี่ย, วันหยุดขั้นต่ำตามกฎหมาย, อัตราส่วนทรัพย์สินต่อรายได้, สัดส่วนของตำแหน่งงานว่างจากระยะไกลและแบบไฮบริด, นโยบายการลาคลอดบุตร, อัตราการว่างงาน ไปจนถึงการศึกษาคุณภาพสูง ซึ่งช่วยลดความเครียด และภาระทางการเงินของบุคคล 


สวัสดิการมากมายที่ครอบคลุมนี้ ช่วยให้ชาวโคเปนเฮเกนสามารถมุ่งเน้นไปที่ชีวิตส่วนตัว และความเป็นอยู่ที่ดีโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความต้องการขั้นพื้นฐาน เพราะระบบสนับสนุนทางสังคมที่แข็งแกร่งจะมีส่วนช่วยให้คุณภาพชีวิตโดยรวมสูงขึ้น ตลอดจนความพึงพอใจในชีวิตการทำงานได้อย่างดีทีเดียว


ที่มา

Related Articles

สรุป 5 เทรนด์การช้อปที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล จาก Thailand’s Future Shopper 2023

จักรวาลการช้อปปิ้งออนไลน์ไม่ใช่เทรนด์อีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นบรรทัดฐานการใช้ชีวิต เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าในปัจจุบัน โลกของการช้อปปิ้งออนไลน์ ได้พัฒนาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับแบรนด์ต่าง ๆ ว่าจะทำยังไงให้สินค้าของตนดึงดูดผู้บริโภคมากที่สุด

Article | Business | Digital Marketing

ตั้ง KPI การทำ Social Media Marketing ด้วย Audience Experience 4 แกน

สำหรับนักการตลาดที่ทำ social media marketing มาพอสมควรแล้ว คงจะพอทราบนะครับว่าปัจจุบันการวัด performance โดยดูแค่ engagement หรือจำนวนคนกด reaction / comment / share หรือ retweet ในแต่ละโพสต์นั้น ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วครับ หรือแม้กระทั่งการวัดเรื่องของ awareness เพียงอย่างเดียวก็อาจจะไม่พอสำหรับบาง campaign…

Article | Digital Marketing

แค่เงียบฟังยังไม่พอ คุณสมบัติ 5 ข้อ ที่ผู้ฟังที่ดีควรมี

คยสังเกตหรือไม่ว่าหลายครั้งที่เรากำลังฟังคนอื่น เราตั้งใจฟังจริง ๆ หรือเปล่า หรือเราแค่เงียบเพื่อรอให้อีกฝั่งพูดจบ เพื่อเราจะได้พูดต่อ การฟังถือจึงเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการทำงานร่วมกันเป็นทีม และการฟังที่ดีนอกจากจะทำให้ผู้ฟังได้รับไอเดียใหม่ ๆ แล้ว…

Article | Living