ใคร ๆ ก็บอกว่าหลังจบสถานการณ์โควิด-19 มนุษย์เรากำลังจะเข้าสู่ยุค New Normal ที่วิถีการใช้ชีวิตประจำวันจะเปลี่ยนไป รวมไปถึงรูปแบบการทำงานจากเดิมที่ต้องทำงานออฟฟิศ ในปีหน้าเราอาจจะได้เห็นการทำงานแบบ Remote Working คือการทำงานจากระยะไกล ทำที่ไหนก็ได้
ความจริงแล้วการทำงานรูปแบบนี้เกิดขึ้นมานานแล้วในต่างประเทศ ในไทยเราอาจจะยังไม่ค่อยเห็นเป็นที่นิยมกันมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่านับจากนี้ไปหลายบริษัทจะให้พนักงานทำงานแบบ Remote Working เพิ่มขึ้น อย่างเช่น Facebook ที่มีการวางแผนให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้แบบถาวร
Facebook ประกาศอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้านได้แบบถาวร
Facebook ถือเป็นบริษัทใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในการทำงาน โดยให้พนักงานทำงานและพักอาศัยอยู่ที่สำนักงานใหญ่ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกและสวัสดิการรองรับอย่างดี เช่น รถรับส่งพนักงาน อาหารกลางวันฟรี บริการซักรีด และอื่น ๆ เพื่อที่จะให้พนักงานมีเหตุผลน้อยที่สุดที่จะกลับบ้าน
แต่เมื่อไม่นานมานี้ Mark Zuckerberg ผู้บริหารระดับสูงและผู้ก่อตั้ง Facebook ได้กล่าวกับพนักงานในระหว่างการประชุมผ่านสตรีมออนไลน์ซึ่งมีการเผยถ่ายทอดสดบนหน้าเพจเฟซบุ๊กของเขาว่า ในปีหน้าครึ่งหนึ่งของพนักงานบริษัทหรือมากกว่า 48,000 คน จะทำงานจากที่บ้าน โดยเขากล่าวว่า
“เป็นที่ชัดเจนว่าโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเราไปอย่างมาก รวมถึงวิธีการทำงานส่วนใหญ่ของเราด้วย หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ ผมคาดว่าการทำงานจากระยะไกลจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
การตัดสินใจให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ของ Mark Zuckerberg คล้ายกับกรณีของ Twitter และ Square บริษัทด้านการชำระเงิน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ออกมาประกาศให้พนักงานทำงานที่บ้านได้อย่างไม่มีกำหนด และ Snapchat อนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้านจนถึงเดือนกันยายน ในขณะที่ Google ก็ประกาศให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้จนถึงสิ้นปีนี้ แต่ยังไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าจะถาวรหรือไม่
นี่อาจเป็นสัญญาณว่า การทำงานผ่านระยะไกลกำลังจะเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ที่ต้องทำงานด้านเทคโนโลยีอย่างมาก เพราะหลังจากที่ Twitter มีการประกาศนโยบายนี้ออกมา ก็มีผู้ค้นหาตำแหน่งงานของทวิตเตอร์เป็นจำนวนมาก จนคำค้น “Twitter jobs” ติดขึ้นเทรนด์ของกูเกิลเลยทีเดียว
Aaron Levie ผู้บริหารสูงสุดของ Box บริษัทด้านเทคโนโลยี ถึงกับกล่าวในทวิตเตอร์ของเขาว่า การผลักดันให้เกิดการทำงานระยะไกลเปรียบเสมือนเกมการทำงานที่กำลังจะเปลี่ยนไป ไม่ต่างจากครั้งหนึ่งที่การเปิดตัวของ iPhone จะพลิกโฉมวงการโทรศัพท์มือถือไปตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานเป็น Remote Working สิ่งที่ตามมาคือ เงินเดือนและค่าตอบแทนของพนักงานใน Facebook จะเปลี่ยนไปและอาจจะไม่ได้สูงเท่าเดิมเหมือนที่ผ่านมา
สิ่งที่มาพร้อมกับ Remote Working คือเงินเดือนและค่าตอบแทนที่เปลี่ยนไป
เราทราบกันดีว่า Silicon Valley เป็นศูนย์กลางของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกและเป็นแหล่งรวม Tech Talent เก่ง ๆ ไว้มากมาย เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าเงินเดือนของเหล่าพนักงานที่ทำงานอยู่ที่นั่นต้องสูงเป็นธรรมดา แต่การเปลี่ยนรูปแบบการทำงานครั้งนี้มีผลให้เงินเดือนปรับเปลี่ยนไปตามค่าครองชีพที่พนักงานแต่ละคนอาศัยอยู่
แต่นั่นอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ว่าหลายคนจะอิจฉาเงินเดือนของพวกเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินเดือนระดับพนักงานใน Silicon Valley ก็ไม่เพียงพอที่จะซื้อบ้านในย่านนั้นที่แพงแสนแพงอยู่ดี การทำงานแบบ Remote Working อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่เขาจะได้ไปตั้งถิ่นฐานในย่านอื่นที่ค่าครองชีพถูกกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูงด้านเทคโนโลยีหลายคนเชื่อว่า การทำงานที่ต้องติดต่อสื่อสารแบบตัวต่อตัวเป็นส่วนสำคัญอย่างมากของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ ที่จะนำไปสู่การริเริ่มสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมกว่า จะเห็นได้จากการที่เฟซบุกได้สร้างอนาเขตขนาดใหญ่และมีพื้นที่การเรียนรู้ การพักผ่อน พบปะพูดคุยกันระหว่างพนักงาน ซึ่งสะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างดี
ด้วยเหตุนี้เองบริษัทด้านเทคโนโลยีใหญ่ ๆ จึงพยายามจะขยายสำนักงานใหญ่ออกไปยังพื้นที่อื่น ๆ ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 เสียอีก อย่างเช่น บริษัท Intel ซึ่งทำสำเร็จไปแล้ว และ Amazon ที่ตั้งใจจะเปิดสำนักงานใหญ่แห่งที่สองที่รัฐเวอร์จิเนีย และครั้งหนึ่ง Facebook มีนโยบายที่จะขยายสำนักงานในนิวยอร์ก แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีการล็อกดาวน์เมืองเนื่องมาจากการระบาดของโคโรน่าไวรัส ทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งรวมถึง Fcebook ต้องส่งพนักงานกลับบ้านเสียก่อน
Facebook ให้พนักงานเริ่มต้นทำงานที่บ้านเดือนมกราคมปีหน้า
สิ่งที่ Mark Zuckerberg กังวลหากพนักงานจะต้องทำงานจากระยะไกล คือเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานที่อาจลดลง แต่ผ่านมากว่าสองเดือนแล้วที่พนักงานต้องทำงานที่บ้าน เขาค้นพบว่าพนักงานทำงานได้ดีกว่าที่คาดไว้ พวกเขายังคงทุ่มเทและให้ความสำคัญกับงานแม้จะยังทำงานจากที่บ้าน
ปัจจุบัน Facebook อนุญาตให้พนักงานใหม่ที่เป็นระดับวิศวกรอาวุโสทำงานจากที่บ้านได้ รวมถึงพนักงานเดิมก็สามารถส่งคำร้องเพื่อขอทำงานที่บ้านได้เช่นกัน โดยจะพิจารณาจากประสิทธิภาพการทำงานที่ผ่านมา
โดยแผนให้พนักงานทำงานที่บ้านนี้จะเริ่มในเดือนมกราคม มีการปรับค่าตอบแทนพนักงานตามค่าครองชีพที่พนักงานคนนั้นอาศัยอยู่ และเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานคนนั้นอาศัยอยู่ตามที่ระบุจริงหรือไม่ จะมีการตรวจสอบตำแหน่งที่พวกเขาทำงานอยู่ว่ามาจากที่ใด
ปัจจุบัน Facebook Square และ Twitter กำลังจะเริ่มต้นเป็นผู้นำเรื่องการทำงานจากระยะไกล เนื่องจากว่างานส่วนใหญ่เกี่ยวกับงานระบบซอฟต์แวร์ที่สามารถจัดการผ่านระยะไกลได้ แต่ในทางตรงกันข้ามกับพนักงานที่เป็นวิศวกรฮาร์ดแวร์ ซึ่งจำเป็นต้องทำงานอยู่ในห้องทดลอง หรือพนักงานที่ทำงานออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ต้องเก็บเป็นความลับของบริษัทอย่าง Apple การทำงานจากทางไกลก็ไม่อาจตอบโจทย์ได้
สรุปแล้ว ถ้าถามว่าอนาคตการทำงานรูปแบบ Remote Working จะเพิ่มขึ้นหรือไม่ แน่นอนว่าเพิ่มขึ้น แต่คงไม่ใช่คำตอบสำหรับกับงานทุกประเภทเพราะบางงานยังมีข้อจำกัดอยู่ อีกทั้งหากถามในมุมของคนทำงานเอง ถ้าวันหนึ่งออฟฟิศอนุญาตให้ทำงานที่บ้านได้อย่างถาวร คิดว่าเราอยากจะทำหรือไม่
ในรายการ Peopleship Podcast ตอน “ถ้าจะ WFH ต่อ จะต้องเตรียมอะไรบ้าง” มีประเด็นหนึ่งที่คุณท้อฟฟี่พูดน่าสนใจมากคือ บางครั้งคนเราต้องการพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การที่ได้รู้ว่าวันนี้ฉันจะได้ไปเจอเพื่อนที่ทำงาน อาจจะเป็นแรงกระตุ้นอย่างหนึ่งให้เราอยากทำงาน แต่ในวันที่เราทำงานจากที่บ้าน หันไปข้าง ๆ ก็มีแต่เราคนเดียว คิดว่าเราจะยังโอเคหรือไม่
หรือในมุมของบริษัทและหัวหน้างานที่เห็นว่าทุกวันนี้พนักงานยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ความจริงแล้วอย่าลืมว่าการทำงานที่บ้านเพิ่งผ่านมาไม่กี่เดือน แล้วถ้าเกิดพนักงานต้องทำงานแบบนี้ไปอีกหลาย ๆ ปี คิดว่าประสิทธิภาพการทำงานจะลดลงหรือไม่ เขาอาจจะเกิดอาการ Burnout จากการทำงานที่บ้าน โดยที่ปรึกษาใครไม่ได้และเราที่เป็นหัวหน้าก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้หรือช่วยอะไรเขาได้มากเท่ากับตอนที่เราเจอหน้ากันตอนทำงานที่ออฟฟิศ นี่อาจจะเป็นคำถามที่ต้องคิดต่อ
เรื่อง : ดวงพร วิริยา
ภาพ : : สุธาทิพย์ อุปสุข
อ้างอิง : Facebook Starts Planning for Permanent Remote Workers