หรือเรากำลังเผชิญกับ New Normal ที่ไม่มีอยู่จริง….
เชื่อว่าถึงวันนี้ทุกคนรู้จักและเข้าใจถึงพิษสงโควิด19 แล้ว ความร้ายกาจของมันมีผลกระทบกับทุกคนไม่ว่าจะทางด้านสภาพจิตใจชีวิตความเป็นอยู่ทั้งการทำงาน ความความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้อย่างทั่วโลก
และด้วยความเปลี่ยนแปลงต่างๆ นี้จึงทำให้หลายคนเริ่มมองไปถึงอนาคตอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พร้อมกับตั้งคำถามว่า ถ้าทุกอย่างกลับมาสู่ปรกติแล้ว ทุกอย่างจะยังปรกติดีอยู่หรือไม่
การใช้ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า ?
การทำงานของเราจะเป็นอย่างไร ?
เราจะรักษาสุขภาพมากขึ้นกว่าแต่ก่อนหรือไม่ ? หรือเราจะทานข้าวนอกบ้านน้อยลงแล้วหันมาทำกับข้าวกินเอง เพราะค้นพบว่าการทำกับข้าวที่บ้านก็ง่ายดี ไม่ได้ยากอะไร แถมยังประหยัดทั้งเงินและเวลาอีกต่างหากจริงหรือไม่ ?
พฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ คือ ความปรกติรูปแบบใหม่ หรือ New Normal พฤติกรรมของเราที่เปลี่ยนไปและแตกต่างจากเดิม ซึ่ง New Normal นี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือความจริงแล้วเป็นเพียงแค่สมมุติฐานที่หลายๆ คนตั้งขึ้นมาเอง
ความจริงหากเราสำรวจให้ดีจะพบว่า สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ที่เราเชื่อว่าจะกลายเป็น ความปรกติใหม่ หรือ New Normal แท้จริงแล้วผมคิดว่ามันคือ ความไม่ปรกติใหม่ต่างหาก อย่างการที่เราต้องใส่หน้ากากทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ต้องนั่งห่างกัน 1-2 เมตร หรือกระทั่งเราต้องล้างมือนานถึง 20-30 วินาที พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ปรกติ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่เราทุกคนจะทำกันในภาวะที่ไม่วิกฤตเช่นนี้
ดังนั้น ความผิดปรกตินี้คือสิ่งที่เราถูก บังคับให้ต้องทำ ไม่ใช่สิ่งที่เรา อยากทำ ซึ่งขัดกับพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์
เราแบ่งการกระทำของมนุษย์ออกเป็น 3 อย่าง คือ สิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ควรทำ สิ่งที่อยากทำ ซึ่งถ้าเลือกได้ เชื่อว่าทุกคนคงทำในสิ่งที่ตน อยากทำ มากกว่าสิ่งที่ตน ควรทำและ ต้องทำ เรียงลำดับกันไป ดังนั้นหากถามว่า เมื่อเราพ้นวิกฤตโควิด19 นี้ไปแล้ว
เราจะยังคงใส่หน้ากากเหมือนเดิมหรือไม่?
เราจะทานอาหารที่บ้าน และไม่ออกไปทานข้าวที่ร้านอาหารเลยหรือไม่ ?
เราจะเรียนออนไลน์แล้วเลิกส่งเด็กๆ ไปโรงเรียนตลอดไปเลยหรือไม่ ?
หรือกระทั่งเราจะล้างมือวันละหลายๆ ครั้ง ครั้งละ 20-30 วินาทีทุกวันหรือไม่ ?
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมเชื่อว่าคำตอบคือ ไม่
เพราะทั้งหมดที่กล่าวมานั้นล้วนแต่เป็น ความไม่ปรกติใหม่ เป็นสิ่งที่เราถูกบังคับให้ต้องทำทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะถูกละทิ้งแล้วกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม 100% เลย ผมว่าก็คงไม่ใช่
อีกมุมหนึ่งที่ผมคิดเรื่องการเกิดขึ้นของวิกฤตโควิด คือ วิกฤตนี้เหมือนเป็นตัวเร่งอนาคตให้วิ่งเข้าใกล้เราเร็วกว่าที่เคย ผลักทำให้สิ่งที่คิดว่าน่าจะเกิดอีก 3 ปีข้างหน้ากลายเป็นเกิดขึ้นภายใน 3 สัปดาห์
เราคาดการณ์ว่าทุกคนจะประชุมผ่านคอมพิวเตอร์จากที่บ้านในอีกหลายปีข้างหน้า
เราเคยคิดว่าว่าเราทุกคนจะรู้จักสั่งสินค้าออนไลน์ในอีกหลายปีข้างหน้า
และเราเชื่อว่าทุกคนจะรู้จักการจ่ายแบบ Cashless ในอีกหลายปีข้างหน้า
แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วในช่วงนี้
ดังนั้นสิ่งที่จะเป็น New Normal ที่แท้จริง คือสิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้คนจริง ๆ และเป็นสิ่งที่ผู้คน อยากทำ ไม่ใช่ถูกบังคับให้ ต้องทำ เพราะพฤติกรรมและสิ่งที่เปลี่ยนเป็น New Normal อย่างแท้จริงไม่ใช่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นใหม่แต่เป็นความคิด ความรู้ใหม่ๆ ต่างหาก
เมื่อมนุษย์มีความรู้ใหม่ๆ เราก็จะรู้จักเลือกสิ่งใหม่ๆ ที่ดีและมีประโยชน์กับเราและองค์กร ธุรกิจ ได้ วันนี้อยากจะชวนให้ทุกคนหันมามองใหม่ มองหาโอกาสใหม่ ๆ จาก New Normal ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
ธุรกิจและแบรนด์ต่างๆ ที่เข้าใจและเปิดรับทั้งความรู้ ความคิดใหม่ๆ ของลูกค้าได้ จะกลายเป็นผู้ชนะรายใหม่ เช่น ร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารพร้อมกับกระดาษที่ระบุชื่อพ่อครัว อุณหภูมิร่างกาย และสถานะทางสุขภาพ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัย สร้างความเชื่อใจต่อคุณภาพของร้านอาหาร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ทางความคิดใหม่ของลูกค้าที่มีต่อสุขภาพอนามัย หรือแม้แต่ออฟฟิศที่เปิดให้เช่าเพียงแค่ 3 วันต่อสัปดาห์จากเดิม 7 วันต่อสัปดาห์ เพราะตอบรับทางความคิดใหม่ของลูกค้าที่เชื่อมั่นในการทำงานแบบ Quality over Quantity ลูกค้าที่เชื่อว่าประสิทธิภาพของการทำงานทุกวันจะไม่ได้ดีไปกว่าการทำงานไม่กี่วันต่อสัปดาห์ที่ออฟฟิศ
สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับความคิดและความรู้ต่อทุกคนมากกว่าสิ่งใดๆ ส่วนพฤติกรรมจะขึ้นอยู่กับความรู้สึกต่อรายบุคคลที่อยากทำหรือต้องทำ
ดังนั้นการเข้าใจความคิดของคนยุคหลังโควิด19 หรือที่เรียกว่า Post Covid19 จึงเป็นสิ่งสำคัญ คนที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทางความคิดของผู้คนได้นั้นอาจจะกลายเป็นผู้นำในยุค Post Covid19 เลยก็ได้
เมื่อมีวิกฤตแล้ว ย่อมมีโอกาสเสมอ
แต่โอกาสก็เหมือนปลาในหนองน้ำ แม้จะมีปลามากมาย แต่ปลาจะเป็นอาหารของผู้ที่รู้จักจับปลาเท่านั้น และเป็นเพียงปลาที่ยั่วตายวนใจของคนที่มองเห็นแต่ไม่มีความสามารถทำอะไรเท่านั้นเอง
ดังนั้นโอกาสจึงเป็นของผู้ที่มองเห็น และมีความสามารถพร้อมจะจับมันเสมอ
โอกาสในครั้งนี้ก็เช่นกัน
เรื่อง : สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม
ภาพ : สุธาทิพย์ อุปสุข