Trending News

Subscribe Now

ปั้นไอเดียอย่างไรให้เป็นธุรกิจ

ปั้นไอเดียอย่างไรให้เป็นธุรกิจ

Article | Business

จากจุดเริ่มต้นของความชอบ จนกลายมาเป็นแพลตฟอร์มในการแชร์เรื่องราว มาพบกับการทำให้ไอเดียที่มีกลายมาเป็นธุรกิจผ่านประสบการณ์ทำธุรกิจของคุณปิ๊ปโป้ เปรมวิชช์ สีห์ชาติวงษ์ ผู้ก่อตั้ง Storylog, Fictionlog และ Bearcave Studio 

การสร้างธุรกิจของคุณปิ๊ปโป้ในตอนแรกที่เริ่มจากไอเดียแค่ว่า อยากให้มีพื้นที่สำหรับแบ่งปันเรื่องราว เหมือน Social Media ทั่วไป โดยยอมรับว่าไม่ได้คำนึงถึงการทำธุรกิจเลย ช่วงสองปีแรกที่ไม่มีการเสียค่าบริการ หรือเปิดรับโฆษณาใดๆ จึงทำให้ Storylog ไม่มีรายได้ใดเลย แต่คุณปิ๊ปโป้ก็เลือกที่จะทำให้ธุรกิจไม่ต่อได้ ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มใหม่ Fictionlog ที่กลายเป็นธุรกิจได้จริงและเป็นรายได้หลักของบริษัทต่อมา


เติบโตจาก Fictionlog สู่ Bearcave Studio 

Fictionlog คือ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้นักเขียนนิยายอิสระทั่วไปสามารถขายนิยายออนไลน์ได้ เรียกอีกอย่างว่า “Web Novel” ซึ่งจุดยืนของ Fictionlog คือ ไม่ใช่สำนักพิมพ์ จึงทำให้นักเขียนสามารถครอบครองลิขสิทธิ์ได้อย่างเต็มที่ 100%

“เราเติบโตจากนิยายออนไลน์ทั่วไป จนเป็นนิยายแปล และขายได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราสามารถต่อยอดจากแพลตฟอร์มการเขียน สู่โปรดักชั่นทำซีรีส์” สังเกตได้ว่าคุณปิ๊ปโป้สามารถต่อยอดไอเดียให้กลายเป็นธุรกิจได้ต่อไปเรื่อยๆ แต่นั่นไม่ใช่เพราะ Content คือสิ่งที่คุณปิ๊ปโป้ชอบเพียงอย่างเดียว


“ทำสิ่งที่รัก ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ธุรกิจแข็งแรง”

“เราต้องแยกกันระหว่างทำสิ่งที่รัก กับ การทำธุรกิจ ถ้าคุณโชคดีว่าสิ่งที่คุณรักสามารถต่อยอดเป็นธุรกิจได้คุณก็โชคดี แต่คุณอย่าฝืนว่าต้องทำสิ่งที่รักให้กลายเป็นธุรกิจให้ได้” คุณปิ๊ปโป้ได้แนะนำไว้ 

การจะปั้นไอเดียที่มีมากมายให้กลายเป็นธุรกิจได้ เราต้องเข้าใจตลาดก่อนว่ามี “ความต้องการ” อยู่ไหม คุณปิ๊ปโป้สนับสนุนให้ทุกคนลองมองหาความต้องการในตลาดให้เจอก่อนแล้วค่อยหาไอเดีย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามีไอเดียก่อนหาตลาด เราจะพยายามหาเหตุผลมารองรับเสมอว่า “ไอเดียเราเวิร์ค” ซึ่งนั่นเป็นหลุมพรางที่อาจทำให้เราพลาดได้


“ดื้อ” และ “ใฝ่รู้” คือ Mindset ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้

คุณปิ๊ปโป้ตั้งข้อสังเกตว่า คนที่ประสบความสำเร็จมักมีคุณสมบัติร่วมกัน คือ “ความดื้อ” หรือ การแน่วแน่ในเป้าหมายที่มีโดยไม่หวั่นไหวกับเสียงรอบข้าง 

“เคยมีคนสอนผมว่า ถ้าคุณจะทำธุรกิจ คุณจะต้องแยก Noise ออกจาก Feedback ให้ได้ อะไรก็ตามที่ไม่ได้มาจากลูกค้า ถือเป็น Noise ทั้งหมด” อย่างไรก็ตามคุณปิ๊ปโป้ได้ย้ำว่า คนดื้อ ไม่ใช่คนที่ใช้วิธีการเดิมๆ โดยหวังผลลัพธ์ใหม่ๆ แต่เป็นคนที่พยายามปรับวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

อีกสิ่งที่คนสำเร็จมักมีร่วมกันคือ “ความใฝ่รู้” โดยที่การขวนขวายหาความรู้ตลอดเวลาเป็นได้ทั้งเชิงวิชาการ อ่านหนังสือ อ่านบทความ หรืออาจเป็นการพูดคุยกับคนเก่งให้มากก็ได้ การเห็นภาพกว้างและการมีข้อมูลที่เยอะมากเพียงพอ จะทำให้ต่อยอดกลายเป็นไอเดียที่ไม่จำกัดได้นั่นเอง

สุดท้ายคุณปิ๊ปโป้ได้ให้คำแนะนำสำหรับทั้งคนที่มีไอเดียแต่ไม่รู้จะเริ่มเป็นธุรกิจอย่างไร และคนที่มีธุรกิจแต่ไม่แน่ใจว่าไอเดียที่มีจะเวิร์คไหมว่า “ก่อนจะเริ่มธุรกิจให้ลองทำ Research เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเราได้ออกไปเริ่มทำอะไรบางอย่างให้ได้ก่อน” การที่เราไม่รู้บางอย่าง ทำให้เรากล้าที่จะลอง แต่ถ้าเรารู้ทุกอย่างเราอาจจะกลัวจนไม่ได้เริ่ม 


อย่างไรก็ตามคุณปิ๊ปโป้ก็ฝากเตือนทิ้งท้ายไว้ว่า “เมื่อโอกาสมาให้ลองประเมินดูเสมอ ว่าสิ่งที่อยากลองทำนั้น เรามีต้นทุนพอที่จะเสี่ยงได้บ้างไหม แน่นอนว่าโอกาสไม่ได้มาง่ายๆ และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้โอกาสนั้น แต่ในทางกลับกันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเสี่ยงได้” คุณปิ๊ปโป้จึงอยากให้ทุกคนคิดให้ถี่ถ้วนและรอบด้านก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจไม่ว่าไอเดียนั้นจะดีมากแค่ไหนก็ตาม

Related Articles

มาเรียนรู้กับ “CX Champion” ถอดรหัสผู้นำเกมด้าน Customer Experience ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างไรให้สำเร็จ [1 ก.ค. นี้]

เทรนด์ของ CX (Customer Experience) กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก บริษัทและธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวมาอยู่บนดิจิทัลและพึ่งพาเทคโนโลยีกันมากขึ้น ลูกค้าเองก็คาดหวังที่จะได้รับประสบการณ์จากแบรนด์/ธุรกิจที่ดีในรูปแบบออนไลน์ โดยจากการสำรวจของ Zendesk…

Article | Digital Marketing