คุณคงเคยเห็นข้อความผ่านตาตาม Social Media มาบ้างว่า “ถ้าอยากลาออกก็ลาออกได้เลย ไม่ต้องแคร์เจ้านาย เพราะเมื่อถึงเวลาเขาก็จะหาคนใหม่มาได้เอง” เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้แคร์คุณเลย เพราะคนเป็นนายก็มีหัวใจ
การปล่อยคนออกและรับคนเข้า เป็นปัญหาที่คนเป็นหัวหน้าหรือเจ้าของบริษัทต้องเจอ วันดีคืนดีจู่ ๆ พนักงานที่รักมาก ฝีมือดีดันมาขอลาออก ความรู้สึกไม่ต่างไปจากการโดนคนรักบอกเลิก แม้ว่าเราจะดูแลอย่างดี ทุ่มเทให้เขามากเท่าไร แต่เมื่อเขามีสิ่งที่ดีกว่า สดใสกว่า อยู่กับเราแล้วไม่โอเค เขาก็ต้องไป
ดังนั้นเราจึงมาแนะนำ 2 เทคนิครับมือกับการปล่อยคนลาออก ที่จะทำให้คุณรู้เจ็บปวดน้อยลงเมื่อต้องพบการจากลา
1. ส่งเสริมเขา หากเขาจะไปเจอสิ่งที่ดีกว่า
อย่าไปเครียดหรือกังวลกับการที่เขาลาออก หากเขาจะออกเพื่อไปเจอสิ่งที่ดีกว่า ควรสวมหมวกเป็นที่พี่ดีในการให้คำปรึกษาแก่เขาจากประสบการณ์ที่คุณมี พยายามถามว่าจะไปที่ไหน ทำอะไร ที่ที่จะไปนั้นดีไหม เหมาะสมหรือเปล่า ธุรกิจนั้นเป็นอย่างไร ถ้าดีกว่าจริงคุณก็ควรปล่อยให้เขาไป แต่ถ้าเขายังไม่มั่นใจกับที่ใหม่ หรือที่ที่จะไปไม่เหมาะกับเขา ก็แนะนำให้เขาอยู่ตรงนี้ไปก่อน ไม่ต้องรีบไปก็ได้ ให้เขาค้นหาจนกว่าจะเจอสิ่งที่ใช่ เพราะเราไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับคนที่จะไปเสมอไป หากเขาไปดีก็ควรยินดีกับเขา และปล่อยให้เขาไป หากมองมุมกลับเขาไม่ได้ไปดีแล้วต้องทนทุกข์อยู่กับคุณอีก 10-20 ปี แบบนั้นคุณจะรับได้เหรอ?
2. ทำให้ดีที่สุดในวันที่เขายังอยู่
ก่อนวันที่เขาจะลาออกคุณควรทำให้ดีที่สุด ในตอนที่เขายังอยู่กับเรา พยายามทำให้ดีที่สุด ดูแลเขาให้ดีที่สุด เพราะว่าเมื่อถึงวันที่เขาเดินมาลาออกหรือมาบอกเลิกกับคุณ คุณจะได้ไม่ต้องคิดเสียดายย้อนหลังว่า ควรจะทำแบบนู้น แบบนี้ ดังนั้นทำให้ดีที่สุดไปเลย แล้วเมื่อถึงวันที่เขามาลาออก คุณจะได้รู้ว่า คุณได้ทำดีที่สุดแล้ว และดีที่สุดที่จะมอบให้เขาได้ ไม่ต้องเครียดหรือเสียใจไป
ในเรื่องของการรับคนเข้ามาทำงาน แน่นอนว่าใคร ๆ ก็ต้องอยากได้คนเก่งมาร่วมงาน แต่ความจริงที่สำคัญกว่าการรับคนเข้ามาทำงานคือ การดูแลคนภายในองค์กรและการพัฒนาพวกเขาให้เก่งขึ้นเรื่อย ๆ
หัวหน้าบางคนกลัวว่าลูกน้องจะเก่งกว่าแล้วข้ามหน้าข้ามตาตัวเอง หากเป็นคุณมาเจอหัวหน้าแบบนี้ คงจะลาออกเลย แต่ในมุมกลับกันหากคุณเป็นหัวหน้าอย่าไปกลัวลูกน้องเก่ง เพราะหากเขาเก่งจะได้มาทำงานแทนคุณ ส่วนคุณเองก็จะได้ไปทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้นอีก เช่น หากคุณเป็นดีไซน์เนอร์ วัน ๆ เปิด Photoshop ทำงานอย่างเดียว พอเริ่มมีทีมงานมาช่วยเมื่อเขาเก่งกว่าคุณ คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำ Photoshop แต่มาทำส่วนคิดงาน ขายงานแทน ต่อไป ๆ ก็ได้ไปทำงานที่สูงขึ้นอีกอีก ยิ่งข้างล่างโตขึ้นมากเท่าไหร่ก็เป็นฐานที่ให้คุณยิ่งปีนได้สูงขึ้น ดังคำพูดของ Steve Jobs ที่ว่า
“คนเกรด A เท่านั้นที่อยากจะคบกับคนเกรด A+ ส่วนคนเกรด B อยากคบกับคนเกรด C ส่วนคนเกรด C อยากจะคบกับคนเกรด D”
หรือหมายความว่ามีแต่คนเก่งเท่านั้นที่อยากจะคบกับคนเก่งกว่า ส่วนคนธรรมดาก็มักจะชอบคบกับคนที่อ่อนกว่าเพื่อจะได้เป็นคนที่เก่งที่สุด
แต่หากเปรียบการทำบริษัทหรือโปรเจ็กท์ดั่งการปีนขึ้นเขาสูง คุณย่อมต้องการคนที่เก่งกว่าไปกับคุณเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน คุณสามารถพึ่งเขาได้ หากงานยิ่งท้าท้าย เหมือนกับคุณที่ยิ่งอยากจะปีนขึ้นเขาที่สูงเรื่อย ๆ ดังนั้นการขึ้นเขาสูงควรต้องคบกับคนที่เก่งกว่า อย่าไปคบกับคนที่อ่อนกว่า เพราะเขาช่วยอะไรเราไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ไล่เขาออกแต่อย่างใด คุณควรสอนเขาและพัฒนาเขา ส่งเสริมความรู้ของเขาให้เติบโตเรื่อย ๆ
และนี่ก็เป็นเทคนิคในการปล่อยคนลาออกและรับคนเข้าทำงาน การเป็นหัวหน้าคนต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยเขาไปพบกับสิ่งที่ดีกว่า พยายามดูแลเขาให้ดีที่สุดในตอนที่ยังอยู่ และอย่ากลัวที่จะรับลูกน้องที่เก่งกว่าเรา พร้อมจะส่งเสริมเขาให้เติบโตไปพร้อมกัน
ถอดความจาก: Morning Call Podcast โดยคุณเก่ง สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม
บทความที่เราแนะนำ