Trending News

Subscribe Now

‘อย่างนี้ต้องลาออก!!’ ถ้าเห็น 10 สัญญาณต่อไปนี้

‘อย่างนี้ต้องลาออก!!’ ถ้าเห็น 10 สัญญาณต่อไปนี้

Article | Business | Living

จะย้ายงานดีไหม? ควรออกจากงานนี้ได้หรือยัง? งานที่ทำอยู่มันใช่กับเราหรือเปล่า? คำถามพวกนี้อาจไม่ต้องถามหมอดูหรือว่าถามใครที่ไหน เพราะเราอยากให้คุณลองเอาลิสต์เหล่านี้ไปเช็คกับตัวเองก่อนที่อะไรอะไรจะสายเกินไป

แน่นอนว่าทุกๆ อาชีพล้วนมีจุดอิ่มตัวของมัน แต่การติดหล่มอยู่กับความน่าเบื่อหรือปัญหาเดิมๆ ของงานที่แต่ละคนทำอยู่นั้นส่งผลกระทบที่ต่างกันออกไป ลองมาเช็คสัญญาณเตือนที่จะทำให้คุณรู้ว่างานหรืออาชีพที่ทำอยู่นี้อาจไม่เหมาะกับคุณอีกต่อไปแล้ว

1. คุณไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับงานที่ทำอยู่อีกต่อไป

หนึ่งในสัญญาณที่จะบอกว่าคุณไม่ควรทำงานหรืออาชีพนี้แล้ว คือการที่วันหนึ่งงานของคุณเริ่มมีคุณภาพตกต่ำ คุณเริ่มพลาดเดดไลน์ทั้งที่ไม่เคยพลาดมาก่อน รวมถึงการสูญเสียความมั่นใจ และรู้สึกไม่มีส่วนร่วมกับงานที่ทำ หรือแม้แต่คุณอาจรู้สึกเฉื่อยชา ขาดแรงผลักดันที่ครั้งนึงเคยมีมันมาก่อน ซึ่งหากคุณกำลังเผชิญพฤติกรรมเหล่านี้อยู่ อาจเข้าข่ายพฤติกรรมของ Self-Sabotage หรือการทำร้ายตัวเองทางอ้อมได้ และมันอาจถึงเวลาแล้วที่เราจะทบทวนถึงการมองหางานใหม่

2. คุณไม่ได้เรียนรู้ทักษะอะไรใหม่ๆ เลย

ความจริงแล้วการลงทุนที่ดีที่สุดที่เราทำให้ตัวเองได้ ก็คือการเรียนรู้สิ่งใหม่ในทุกวัน เพราะการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เราเพิ่มศักยภาพของตัวเอง และช่วยในเรื่องการตัดสินใจ และยังช่วยให้เราทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ดังนั้นถ้าหากตอนนี้คุณกำลังรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในจุดสูงสุดของกราฟการเรียนรู้แล้วล่ะก็  สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการทำงานของคุณหลังจากนี้อาจเป็นความทุกข์ได้ เพราะถ้าเรารู้สึกว่าวันทำงานในแต่ละวันของเราเริ่มดูน่าเบื่อซ้ำซากเพราะมันแทบไม่มีโอกาสอะไรให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่เลย ก็นับเป็นสัญญาณสำคัญว่าคุณควรไตร่ตรองถึงงานที่กำลังทำอยู่และสิ่งที่ตัวเองอยากเรียนรู้ในอนาคตดูบ้างแล้ว

3. คุณไม่รู้สึกว่ามันท้าทายอะไรอีกแล้ว

คุณกำลังรู้สึกว่าคุณเติบโตเกินกว่าบทบาทหน้าที่ในปัจจุบันของตัวเองแล้ว หรือคิดว่างานที่ทำอยู่ไม่ทำให้คุณได้เรียนรู้หรือได้พัฒนาตัวอย่างต่อเนื่องแล้วหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้มักมีสาเหตุมาจากการทำงานที่ไร้ซึ่งความท้าทาย หลายครั้งความรู้สึกเบื่อหน่ายและความพอใจในตำแหน่งหน้าที่หรือผลงานของตัวเอง จะเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวไปถึงจุดสูงสุดหรือจุดอิ่มตัวของอาชีพ ซึ่งจุดนี้ทำให้หลายคนรู้สึกสับสน และตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริงๆ แล้วตัวเราควรร่าเริงหรือเปล่า เพราะว่าฉันทำได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงคุณกลับถามตัวเองว่า มันใช่แล้วหรอ? มันใช่หรือเปล่า?  ซึ่งถ้าคุณรู้สึกแบบนี้กับงานที่ทำอยู่ มันอาจเป็นเวลาที่คุณควรจะมองหาขอบเขตใหม่ๆ ของงาน หรือลองทบทวนถึงการเปลี่ยนอาชีพ อาจจะช่วยได้

4. คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ ไม่เหมาะสม

ถ้าคุณได้รับการรีวิวการทำงานในระดับดีเยี่ยมมาตลอด เพียงเพื่อจะได้รับการโปรโมต มันก็มีความเป็นไปได้ว่าคุณจะรู้สึกเหมือนไม่ได้รับการยอมรับหรือชื่นชม เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
แล้วในท้ายที่สุด ความไม่พอใจหรือไม่ได้ดั่งใจเหล่านี้ก็จะกลืนกินพลังงานและความกระตือรือล้นของคุณไป เพราะเมื่อคุณทุ่มเทจัดระเบียบในสิ่งที่คุณทำ แต่ความพยายามของคุณกลับไม่ได้รับสิ่งตอบแทน คุณอาจต้องการเวลาที่จะคิดทบทวนแล้วว่าความสามารถของคุณจะเป็นประโยชน์และมีคุณค่ากว่าไหม ถ้าย้ายไปอยู่แผนกอื่นหรือบริษัทอื่น

5. หน้าที่การงานของคุณไม่ขยับไปไหน หรือเติบโตไปไหนเลย

ลองถามตัวเองว่าคุณค่าของสิ่งที่คุณทำให้องค์กรไปนั้น พอเหมาะพอดีกับเงินเดือนของคุณหรือเปล่า เพราะการเติบโตทางอาชีพนั้นมีหลายรูปแบบ ทั้งการเลื่อนตำแหน่ง ปรับเงินเดือน และผลประโยชน์ต่างๆ ของพนักงาน ซึ่งมันอาจเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบที่เพิ่มเติมขึ้นมาหรือการรับงานในโปรเจกต์ใหม่ แต่ถ้าคุณรู้สึกติดหล่มอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเติบโตในระดับมืออาชีพหรือ ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม มันก็อาจถึงเวลาแล้วที่คุณจะพิจารณาทางเลือกใหม่

6. แม้แต่คนใกล้ตัวยังรู้สึกได้ว่างานที่คุณทำอยู่มันไม่ดีกับคุณ

สำหรับคนวัยทำงานแล้ว ทุกๆ บทสนทนาที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเพื่อนหรือครอบครัวย่อมมีเรื่องของงานเข้ามาเกี่ยวข้อง และถ้าเนื้อหาในบทสนทนาต่างๆ มีการพูดถึงว่าคุณเกลียดงานที่ทำอยู่ หรือไม่ชอบงานที่ทำอยู่แค่ไหน และใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์พร่ำบ่นว่าคุณทนหัวหน้าไม่ได้ ทนเพื่อนร่วมงานไม่ได้ ทนเนื้องานที่ทำอยู่ไม่ได้ คนใกล้ตัวอาจเริ่มถามคุณแล้วว่ายังโอเคอยู่ไหม พร้อมกับเริ่มแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณรวมถึงสุขภาพโดยรวมของคุณ ซึ่งถ้าเมื่อไหร่คนใกล้ตัวเราเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับงานที่เราทำ ว่ามันส่งผลกระทบในเชิงลบกับตัวเราแล้ว นั่นอาจถือเป็นสัญญาณว่างานของคุณอาจไม่โอเคกับคุณอีกต่อไปแล้ว

7. สุขภาพของคุณเริ่มย่ำแย่

ถ้าเมื่อไหร่งานของคุณไม่ดีกับตัวคุณอีกต่อไปแล้ว คุณอาจรู้สึกว่าคุณกำลังเดินช้าๆ บนผืนทรายที่คอยดูดคุณให้จมลงไปอยู่ตลอดเวลา และคุณก็ทำงานเพียงเพื่อให้คุณมีชีวิตรอดผ่านไปวันๆ ท่ามกลางความรู้สึกเหนื่อยและว่างเปล่า รวมถึงมีสัญญาณอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ซึ่งรวมถึงอาการปวดหัว ความดันโลหิตสูง และอาการนอนไม่หลับ รู้สึกวิตกกังวลและเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา ให้รีบใส่ใจและฟังเสียงร่างกายของตัวเองดู ว่าคุณมี work-life balance เพียงพอหรือเปล่า เพราะสิ่งเหล่านี้คือตัวที่จะบอกว่า อาจถึงเวลาแล้วที่คุณจะมองหางานใหม่

8. คุณหวาดกลัวงานของตัวเอง

สัญญาณที่ชัดเจนมากๆ ว่าคุณไม่ควรอยู่กับงานนี้อีกต่อไปแล้ว คือคุณกลัวงานของตัวเองในทุกๆ วัน ตัวอย่างเช่น คุณต้องเผชิญกับความวิตกกังวลใจทุกๆ เย็นวันอาทิตย์เกี่ยวกับงานในสัปดาห์หน้าที่กำลังจะมาถึง และเป็นแบบนี้ทุกๆ สัปดาห์ ให้คุณลองทบทวนใหม่ว่างานนี้มันใช่งานที่เหมาะและดีกับคุณจริงไหม 

9. คุณไม่พบความหมายในงานที่ทำ

การตามหาความหมายของการทำงานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะ 83% ของคนที่รักงานของตัวเองบอกว่าการทำงานของพวกเขามีบทบาทในเรื่องความพึงพอใจในเนื้องาน

และสำหรับบางคนแล้ว เป้าหมายในการทำงานก็คือการเพลิดเพลินและมีความสุขกับภาระหน้าที่ต่างๆ ในแต่ละวัน บางคนอาจถูกกระตุ้นโดยการทำงานที่ขับเคลื่อนเป้าหมายขององค์กรได้ และดำเนินไปควบคู่กับค่านิยมที่สอดคล้องกับตัวเอง ส่วนคนทำงานบางคนก็มองเห็นความหมายจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน

ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่เติมเต็ม ลองใช้เวลาในการคิดทบทวนถึงสิ่งที่คุณต้องการ เพื่อที่จะค้นพบความหมายจากสิ่งแวดล้อมในการทำงานดู

10. คุณรู้สึกไม่หลุดพ้น เหมือนติดหล่มมาเป็นปีหรือมากกว่านั้น

ถ้าถามว่าคุณรู้สึกยังไงถ้าพรุ่งนี้จะต้องไปทำงาน? แล้วคำตอบที่ได้คือ คุณคิดว่ามันเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ หรือเป็นการได้ทำงานที่คุณไฝ่ฝันมาโดยตลอด งานที่ทำอยู่อาจดีกับคุณอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณมีความคิดเฝ้าฝันถึงการลาออกมาเป็นปีหรือหลายปีแล้ว อาจถึงเวลาแล้วที่คุณจะวางแผนอะไรบางอย่างที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง


เพราะสิ่งที่เป็นผลกระทบตามมาจากการติดหล่มอยู่กับงานที่ ‘ไม่ใช่’ อาจสร้างผลกระทบให้กับสุขภาพและความสุขของคุณแบบถาวรได้ หากมีเวลาว่างคุณอาจลองถามตัวเองว่า อะไรคือราคาที่ทำให้คุณอยู่ต่อกับงานที่ทำอยู่นี้ ถ้าสถานภาพที่เป็นอยู่นั้นเลวร้ายกว่าความกลัวว่าจะเปลี่ยนแปลง มันก็ถึงเวลาที่จะลงมือทำอะไรสักอย่างและตั้งคำมั่นกับตัวเองว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้ให้ดีขึ้นให้ได้


ที่มาของข้อมูล  – 10 Signs That You’re In A Career Rut


เรื่อง:  ป่าน – อดามาส
Content Creator ผู้ชอบงานเขียนมากกว่าทุกสิ่ง และชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตที่หาคำตอบไม่ค่อยเจอ

Related Articles

“ความรู้สึกผิดของคนที่เหลืออยู่” ฮาวทูเยียวยาจิตใจลูกน้อง ในวันที่บริษัทต้องเผชิญกับการ Layoff

เพียงไม่กี่สัปดาห์ของการแพร่ระบาด COVID-19 ตัวเลขของผู้ว่างงานในสหรัฐก็ทะยานขึ้นสูงกว่า 30 ล้านคน โดยเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า ตัวเลขดังกล่าวหมายถึงกลุ่มคนว่างงานและกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงในหน้าที่การงานในระยะยาวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ควรหลงลืมกลุ่มคนอีกกลุ่มที่ต้องเผชิญกับความลำบากในภาวะวิกฤตนี้เช่นเดียวกัน  ในขณะที่หลายคนอาจรู้สึกโชคดีที่ตัวเองยังคงมีงานให้ทำอยู่…

Article | Business

แกะความสำเร็จ Viral Marketing ผ่านคลิป Our Floating Dreams ค่ายดิสนีย์

Viral marketing หรือการตลาดแบบปากต่อปาก เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้รับความนิยมสูงในการบอกต่อเพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ในสมัยก่อนผู้บริโภคจะบอกกันไปเรื่อย ๆ แบบปากต่อปากเมื่อพบว่าสินค้าชิ้นนั้นคุ้มค่าและได้ผลดีจริง ต่อมา…

Article | Digital Marketing

Cryptocurrency กับการเข้ามามีบทบาทในโลกของฟุตบอลยุคใหม่

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันเรื่องราวธุรกิจทางการเงินที่เกี่ยวกับโลกของ Cryptocurrency เริ่มมีส่วนร่วมกับชีวิตของมนุษย์มากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นการนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

Article | Business | Technology