Trending News

Subscribe Now

6 Collaboration รวมเคสน่าสนใจในวันที่แบรนด์ใหญ่ตัดสินใจจับมือกัน

6 Collaboration รวมเคสน่าสนใจในวันที่แบรนด์ใหญ่ตัดสินใจจับมือกัน

Article | Business

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Collab หรือ Collaboration กันมาบ้าง การทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์จนเกิดเป็นแคมเปญหรือผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่สร้างสีสันใหม่ให้กับผู้บริโภคและแบรนด์ต่างๆ ไปพร้อมกัน

แต่ถ้าถามว่าการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ จะให้ประโยชน์กับใครบ้าง แล้วมันดีกว่าการทำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ตัวเองเดี่ยวๆ จริงไหม ลองมาศึกษาผ่าน 6 ตัวอย่างการ collaborations จากแบรนด์ยักษ์กัน


Lego x Stranger Things

การสร้างสรรค์เลโก้เซ็ตใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจาก iconic scene ของซีรี่ส์ชื่อดังสัญชาติอเมริกัน ‘Stranger Things’ ที่เคยสร้างกระแสมีคนพูดถึงเป็นวงกว้าง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ซึ่งถ้าใครที่เป็นแฟนตัวยงของทั้ง Lego และซีรี่ส์ Stranger Things สินค้าคอลเลกชันนี้ยิ่งสร้างความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นแบบคูณสอง และยังเป็นการสร้างสร้างกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหม่ เป็นกลุ่มวัยรุ่นและเด็กโต เนื่องจากมีการประมาณไว้ว่า 31% ของคนในช่วงอายุระหว่าง 18 – 29 รับชมทุกตอนของซีรี่ส์ Stranger Things

โดยซีรี่ส์เรื่องนี้ยังสามารถเข้าถึงวงการของเล่น จากการเพิ่มกลุ่มเป้าหมายของ Lego ที่รวมถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย ผ่านการ collab ในครั้งที่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้แฟนซีรี่ส์เข้าถึงแบรนด์ของเล่นได้


McDonald’s กับ Burger King

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าเบอร์เกอร์แบรนด์ยักษ์ของโลกอย่าง McDonald’s และ Burger King ถือเป็นฟาสต์ฟู้ดคู่แข่งกันมาแต่ไหนแต่ไรทว่าวันหนึ่งในเดือนกันยายนปี 2019 ก็มีเหตุการณ์ระหว่างแบรนด์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในประเทศอาร์เจนตินา เมื่อ McDonald’s มีแคมเปญหาเงินทุนสำหรับมะเร็งในเด็ก ที่ทุกรายได้จากการขายของ Big Mac จะถูกบริจาคเพื่อแคมเปญนี้

ซึ่งแคมเปญนี้ทำให้เกิดเรื่องเซอร์ไพรส์บางอย่าง จากแบรนด์คู่แข่งอย่าง Burger King เมื่อ Burger King ได้ทำการหยุดขาย Whopper ของตัวเองหนึ่งวันแบบชั่วคราว และเรียกมันว่า A Day Without Whopper ในอาร์เจนติน่า เพื่อให้รายได้ที่ Burger King จะได้จาก Whopper เปลี่ยนไปอยู่ที่ Big Mac และเป็นส่วนสมทบทุนสำหรับมะเร็งในเด็ก


 Louis Vuitton x Supreme

สุดยอดการ collab ของแบรนด์ซึ่งเป็นที่จดจำครั้งยิ่งใหญ่ คงหนีไม่พ้นลักซ์ชัวรี่แบรนด์อย่าง Louis Vuitton กับ Supreme ไลฟ์สไตล์แบรนด์ เสื้อผ้าแนวสเก็ตบอร์ดจาก New York ซึ่งคอลเลกชันระหว่างสองแบรนด์นี้ก็มีทั้งเครื่องแต่งกาย รองเท้า และเครื่องประดับต่างๆ อาทิ หมวก แว่นตา กระเป๋า

แม้ว่าการ collab ครั้งนี้จะดูแปลกสำหรับบางคน แต่มันเป็นการ collab ที่ได้รับความนิยมอย่างบ้าคลั่งไม่น้อย ด้วยการที่ไอเท็มต่างๆ ถูกจำหน่ายหมดภายในไม่กี่นาทีหลังจากการเปิดตัว

การจับมือกันของแบรนด์รอบนี้ จึงถือเป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่ใช้เทรนด์ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ในการโปรโมตทั้งสองบริษัท ซึ่งการจับมือกับ Supreme ก็ทำให้ Louis Vuittion ได้รับความนิยมในสินค้าประเภทนี้ โดยครึ่งแรกของปี 2017 Louis Vuitton ก็มีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นกว่า 23% ซึ่งยกเครดิตสำคัญให้กับการ collab เพราะมันทำให้คนที่อาจไม่เคยซื้อ Louis Vuitton มาก่อน มีแบรนด์นี้อยู่ในลิสต์การซื้อได้


Sharpie x Nike

เมื่อรองเท้า Nike Air Force 1 มาพร้อมกับความพิเศษ เป็นมาร์คเกอร์ของ Sharpie ที่ให้ลูกค้าได้สร้างลายเส้นเฉพาะตัวของตัวเองลงบนรองเท้า Nike คู่โปรด การจับมือกันครั้งนี้แตกย่อยมาจากแคมเปญที่ชื่อว่า “More Than An Athlete” ซึ่งริเริ่มโดยนักกีฬา NBA ที่ชื่อ LeBron James โดยแคมเปญนี้จุดประกายให้เจ้าของรองเท้าได้เขียนเรื่องราวของตัวเองลงบนรองเท้า

ซึ่งการ collab ในครั้งนี้ของ Nike และ Sharpie ตั้งใจจะผลักดันให้ผู้คนหาเสียงที่อยู่ลึกๆ ของตัวเองให้เจอ และการจับมือกันครั้งนี้ยังไม่เพียงแค่ช่วยกระจายคำพูดจากโปรเจ็คของ LeBron James เท่านั้นแต่ยังสร้างพลังให้กับนักกีฬารุ่นเยาว์อีกด้วย


Vans และ Harry Potter

หากพูดถึงแฟนๆ ของ Harry Potter เชื่อว่าเกินครึ่งน่าจะเป็นผู้ที่ยกทั้งหัวใจให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีนามสกุล Harry Potter แปะไว้ โดยเฉพาะความคลั่งไคล้ในสัญลักษณ์ต่างๆ ที่สื่อถึงองค์ประกอบในแฮร์รี่ การันตีได้จากเมื่อหนังสือชุด Harry Potter เล่มแรกออกวางจำหน่ายในปี 1997 กว่าครึ่งของหนังสือพันล้านเล่มก็ถูกจับจองและถูกแปลไปกว่า 80 ภาษา

และเมื่อความรักที่มีต่อโลกเวทมนตร์ ผสานรวมกับรองเท้าผ้าใบจาก Vans เกิดเป็นคอลเลกชั่นพิเศษที่ ก็ทำให้แฟนๆ สามารถช้อปปิ้งรองเท้าที่ใส่สบายในราคาที่เข้าถึงได้ ที่มาพร้อมกับดีไซน์สวยๆ จากภาพยนตร์และนิยายเรื่องโปรดของตัวเองด้วย


Uber กับ Spotify

เมื่อการเดินทางผ่านบริการ Uber สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่กับผู้โดยสาร ด้วย playlists ส่วนตัวบน Spotify ของผู้เรียกรถ Uber ทันทีที่ผู้โดยสารเรียกรถของ Uber ก็สามารถเชื่อมต่อกับ Spotify ผ่าน profile ส่วนตัวได้ทันที เมื่อขึ้นรถ

ซึ่งฝ่ายที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการ collab ในครั้งนี้ก็คือ Spotify เพราะบรรดาผู้ใช้งานจำเป็นต้อง sign up เพื่อจ่ายค่า subscription เพื่อให้เพลงใน playlists ของพวกเขาถูกเล่นบน Uber ที่โดยสาร ขณะเดียวกันคนขับก็ได้รับการให้คะแนนที่สูงขึ้น และได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นด้วย จากการที่คนขับและผู้โดยสารมีประสบการณ์ที่ดีขึ้นร่วมกันระหว่างใช้บริการ


อ้างอิงข้อมูล

Related Articles

“ดิจิทัลบูรณะ” ฟื้นคืนประตูกำแพงเมืองโซลที่สาบสูญกว่า 600 ปี ด้วย AR และ VR

เรื่อง : ดวงพร วิริยา กาลเวลาที่ผ่านจากยุคหนึ่งสู่อีกยุคหนึ่ง มนุษย์ได้ทิ้งอารยธรรมและสิ่งปลูกสร้างสร้างที่เป็นมรดกที่สำคัญของโลกไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา บางแห่งได้รับการทำนุบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่เสมือนต้นฉบับให้มากที่สุด แต่มีอีกหลายแห่งถูกทำลายลงไปก่อนที่จะเก็บรักษาไว้ได้  ทั้งเกิดสงคราม การขยายตัวของเมืองเพื่อกระจายความเจริญให้กับเมืองเล็ก…

Article | Technology

ไม่ใช่แค่ใหม่ล้ำแต่ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ว่าด้วยโลกของนักออกแบบยุค 2020

“ผมรู้สึกว่าต้องไถ่โทษไปชั่วชีวิต”  Aza Raskin เอ่ยขึ้นในสารคดี Abstract เขาคือผู้ออกแบบและคิดค้นสิ่งที่เรียกว่า Bottomless Scroll สิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันสามารถเลื่อนลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งประดิษฐ์นี้ทำให้ความเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อพฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มือถือ…

Article | Creative/Design

ทำไมกล่องซีเรียลต้องมีตัวการ์ตูนมองต่ำ?

เคยสังเกตไหมว่าทำไมบนกล่องซีเรียลถึงต้องมีตัวการ์ตูนมองต่ำ ? หากคุณลองไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตและสังเกตไปที่โซนกล่องซีเรียลหรือคอนเฟล็ก แน่นอนว่าส่วนใหญ่ 90% มักจะเป็นตัวการ์ตูน แล้วเจ้าตัวการ์ตูนเหล่านั้นก็มีทั้ง เสือ หนู ไก่…

Creative/Design | Design You Don't See | Podcast