หากคุณเป็นคอเพลงอินดี้ หรือคนที่ฟังเพลงไทยมาตลอดหลายปี ชื่อของ ‘Stoondio’ น่าจะเป็นหนึ่งในศิลปินที่หลายคนรู้จักและชื่นชอบบทเพลงของวงนี้ ซึ่งบุคคลผู้เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน Stoondio มาตลอด 9 ปี ก็คือ ‘ตูน โชติกา คำวงศ์ปิน’ ผู้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเป็นนักร้องเป็นหลัก แต่ยังแต่งเพลงเอง เล่นดนตรีเอง และมิกซ์เสียงเอง รวมถึงสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ ที่กอปรทุกสิ่งขึ้นมาเป็นบทเพลงของ Stoondio
ซึ่งวันนี้ Creative Talk ก็มีโอกาสได้พูดคุยและทำความรู้จักกับเธอในอีกหลายมิติที่หลายคนอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน ในด้านของมุมมองความคิดที่มีต่อทุกสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ว่าจะเรื่องของดนตรี เรื่องของการทำงานออกแบบ และด้านความเป็นไปของชีวิตที่ถูกสะท้อนผ่านความคิดและความรู้สึกบางอย่างของเธอขึ้นมาเป็นบทเพลงให้เราได้ฟังกัน เราพูดคุยกับเธออย่างเพลิดเพลินเหมือนได้อ่านหนังสือที่เล่าความนามธรรมบางอย่างสักเล่ม และทำให้มองเห็นสิ่งที่เป็นมาและเป็นไปในการเติบโตของตูน Stoondio มาตลอด 9 ปี
บทความนี้ Creative Talk จึงขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับตูน Stoondio ที่เป็นทั้งนักดนตรี และนักออกแบบในคนเดียว และเราเชื่อว่าทั้งความคิดและความเป็นเธอรวมถึงสิ่งที่เธอทำ ล้วนน่าสนใจไม่แพ้บทเพลงของ Stoondio เลย
คุณตูนเล่าว่าหลายคนรู้จักเธอในฐานะของนักร้อง และศิลปินวง Stoondio แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอาชีพหลักของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นไม่ใช่ศิลปิน แต่เป็นครีเอทีฟ กราฟิกดีไซเนอร์ และอารท์ตไดเรคเตอร์ ผู้เติบโตในวงการเอเจนซี่ ส่วนเรื่องของดนตรีเรียกว่าเป็นนิสัย เพราะเธอทำมันมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน
จุดเริ่มต้นของ Stoondio
พาย้อนกลับไปสิบสองสิบสามปีที่แล้ว สมัยที่อยู่มหา’ลัย อยู่ม.ปลาย จำความไม่ได้แต่มันนานมาก ตอนนั้นร้านหนังสือมันยังขายอยู่ แล้วมันจะมีพวก magazine ที่แถมซีดี เป็น demo version แถมโปรแกรมทำเพลง แล้วเราก็ไปซื้อมาเอามาลงในเครื่อง แล้วก็ค่อย ๆ เปิดไปตาม tutorial เขา
คือตอนเด็ก ๆ มีความรู้สึกว่าอยากจะเล่นคีย์บอร์ด อยากจะเล่นกีต้าร์ แต่ไม่เคยเรียนพิเศษอะไรเลย ก็เลยไปหาอะไรมาเล่นเอง แล้วพอมันมีโปรแกรมแถมฟรี เลยลองมาเล่น แล้วก็เริ่มเข้าใจว่ามันเป็นเลเยอร์เหมือนโฟโต้ชอป ยุคนั้นยังไม่มี youtube เลยนะ
จนมหาลัยมันก็เริ่มเป็นชิ้นเป็นอัน เริ่มเขียนถึงอาจารย์ แต่งให้เพื่อน ตามประสาเด็ก สำหรับเราถ้าวัดความจริงจังก็คือแบบนั้น ไม่เคยไม่นั่งทำ ตีสามยังทำไปเรื่อย ๆ เพียงแต่ว่ามันไม่เป็นที่รู้จัก ก็เป็นเหมือนสนามฝึกหัดของเรา
แต่มันเป็นที่รู้จักเพราะว่า เราเองเอาไปส่ง bedroom studio ตอนปี 2012 แต่จริง ๆ ทำเพลงมาตั้งแต่ 2007 – 2008 แล้ว เราสมัครเฟซบุ๊คช่วงนั้น แล้วก็อัปโหลดเป็นไฟล์วิดีโอเน่า ๆ แต่แค่การเป็นที่รู้จัก มันคือการได้เอาเพลงตัวเองไปให้ทาง Fat Radio ปี 2012 ซึ่งจริง ๆ Untitled ไม่ใช่เพลงแรกที่เขียน มันแค่เป็นจังหวะที่เราเอาไปสู่หูคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนเรา
กลายเป็นว่า จากตอนแรกเป็นตูนที่ชอบทำเพลง เพื่อนก็กดแชร์ อารมณ์แบบสงสารมันอ่ะ เห็นมันแต่งเพลงอยู่ในเฟซบุ๊ค (หัวเราะ) เหมือนเราตอนทำอะไรใหม่ ๆ แล้วเพื่อน ๆ ก็เย้เย้ แต่พอหลังจาก Untitled 001 ถูกปล่อยออกไป มันไม่ใช่แค่คนรู้จักที่สนับสนุนงานเรา เลยเป็นจุดเปลี่ยน หลังจากนั้นมันก็เป็นเรื่องของคนไม่รู้จัก ที่หันมาชอบเพลงเรา
การเติบโตของ Stoondio
จริง ๆ Stoondio มันไม่ได้โตแบบพลุ มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกประหม่า หรือว่าทำให้เราต้องไปดีใจกับมันขนาดนั้นนะ คือความเป็น Stoondio ในสมัยก่อนมันไม่ค่อยได้มารบกวนชีวิตพื้นฐานเราเท่าไหร่ เราไม่ได้ดังแบบเปรี้ยง แล้วเราก็ไม่สันทัดการเป็น frontman เราแค่ชอบทำเพลง และโชคดีที่มันมีอินเตอร์เน็ตเข้ามาพอดี มีแพลตฟอร์มที่คนเขาฟังเพลงจริง ๆ คือถ้าเป็นในยุคก่อนนู้น เป็น one way communication ที่มันจะต้องเป็น TV Broadcast เหมือนจะต้องเอาตัวเราอีกด้านนึงไปแนะนำให้คนรู้จัก ซึ่งเราไม่ชอบ เพราะเราไม่ใช่คนแบบนั้น
เราก็ตั้งคำถามมาตลอดว่าเราชอบแค่ทำเพลง รู้จักเราแค่ทำเพลงไม่ได้หรอ เราก็เลยล็อคตัวเองว่าฉันอยู่ของฉันแค่นี้ เพราะตอนนั้นเราก็เพิ่งทำงานเอเจนซี่ใหม่ ๆ เราก็เหนื่อย เราไม่ได้มาโฟกัสตรง Stoondio มาก เราอยากพัฒนาตัวเองไปเป็นครีเอทีฟ ส่วน Stoondio คือพื้นที่บำบัดเรา
ส่วนเพจก็ทำมาตั้งแต่ยุคที่คนยังไม่ฮิตทำเพจ เราทำมาเรื่อย ๆ เหมือนเป็นไดอารี่เล็ก ๆ ที่เอาไว้คุยกับคนที่เขาชอบงานเรา ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเคอะเขิน แล้วเราก็ไม่ต้องไปพยายาม เหมือนเป็น portfolios สะสมผลงานเรามากกว่า แต่ถามว่ามันต้องแคร์มั้ย ธรรมชาติคนมันแคร์อยู่แล้วนะ ถ้าจะบอกไม่แคร์น่าจะโกหก เพียงแต่ว่าเรามีสิทธิ์สร้างสิ่งแวดล้อมตัวเองได้ ด้วยบุคลิกที่เรานำเสนอออกไป ถ้าเรานำเสนอแบบห่าม เราก็จะได้คนอีกแบบนึงเข้ามา ถ้าเรานำเสนอแบบ polite แล้วก็มีวิธีการพูดที่เราต้องการ feedback ยังไง เราก็พูดออกไปแบบนั้น
วัตถุดิบการสร้างสรรค์งานของ Stoondio
คิดว่ามันน่าจะเป็นความชอบตั้งคำถามของเรานะ คือเป็นหนูน้อยจำไมตั้งแต่เด็ก แต่คำถามเรามักจะไม่ได้คำตอบ เพราะว่าเราจะถามในสิ่งที่ถ้าคนไม่เก๊ตหรือผู้ใหญ่ไม่เก๊ต ก็จะรำคาญ คือเราก็ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นคนที่ลึกซึ้ง แต่เราแค่รู้สึกว่าชอบถาม ชอบนั่งคิดอะไรไปเรื่อย เป็นนิสัยของเรา เช่นทำไมมันเป็นแบบนี้ ทำไมเขาทำแบบนั้น ทำไมเขาถึงเลือกจะพูดแบบนี้ ทำไมเราถึงหงุดหงิด มันจะมีอารมณ์ที่เราจะเลี่ยง หรืออายที่จะบอกออกมา ว่าจริง ๆ มันคืออะไร เรารู้สึกว่า Stoondio ทำหน้าที่ไปเขี่ยความรู้สึกตรงนั้นที่คนเราฟอร์ม ๆ กันอยู่
เราเป็นคนที่คิดอยู่กับตัวเอง แล้วรู้สึกว่าอารมณ์นี้มันเยอะกว่าแค่ฉันรักเธออีกนะ มันแอบซ่อนอะไรไว้ เหมือนอาหารไทย ที่ไม่ใช่แค่เปรี้ยว มันมีซ่อนหวาน อารมณ์คนมันเยอะกว่านั้นอีก เราว่ามันละเอียด เพลงมันก็เลยไม่ค่อยดัง (หัวเราะ) สมมติเรามองอารมณ์แค่สิบอารมณ์ในโลก แต่เราว่ามันมีเป็นร้อย มันมีสับเซ็ตของมันซ้อนลงไปอีก จริง ๆ อารมณ์คนเรามันละเอียดนะ แต่บางทีเราก็ยังหยาบกระด้าง ซึ่งอันนี้เราอาจไม่รู้ ต้องให้คนที่ใกล้ ๆ ตัวเราเขาบอก แต่บางครั้งเราก็ไม่สามารถละเอียดอ่อนได้ตลอดเวลา ไม่งั้นเราคงทำงานไม่ได้ การตัดสินใจบางอย่างบางครั้งมันก็ต้องยอมแบบหยาบ ๆ ถ้ามานั่งละเอียดอ่อนทั้งหมด พอดีใจพังกันหมด
คิดว่าเพลงหรือดนตรีให้อะไรกับคนฟังได้บ้าง?
จริง ๆ เราว่าทุกเพลงในโลก ไม่ว่ามันจะดังที่สุด หรือไม่มีใครได้ยิน หรือแค่เจ้าตัวที่แต่งขึ้นมาชอบอยู่คนเดียว มันมีความหมายหมดเลยนะ
สำหรับเรา เรา respect คนที่ทำอะไรแบบนี้ออกมามาก ๆ เพราะไม่ว่ามันจะมีคนฟังมากฟังน้อยมันถูกเลือกมาแล้วว่าคุณเป็นคนที่ interpret ความรู้สึก หรือสิ่งที่เขียนออกมาเป็นเพลงเป็นดนตรีได้
สำหรับเรามันเป็นอาชีพ ไม่รู้จะใช้คำว่าอาชีพได้รึเปล่านะ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่มีเกียรติมาก ๆ เลย มันคืออิสระทางความคิด อิสระทางการนำเสนอ และดีใจที่มีความสามารถกันได้มากพอที่ออกมาเป็นงานได้ เราว่ามันไม่ยาก แต่มันก็ไม่ได้ง่ายเลยนะ มันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ทำกันได้ เราก็เลยรู้สึกว่า ไม่ว่ามันจะดังที่สุดหรือไม่มีใครฟังมันเลย
กับบางคนที่อยากจะทำเพลงเพื่ออะไรแบบนี้ เราไม่อยากให้เขาท้อแท้เลย มันยากตั้งแต่กระบวนการแล้ว ที่เหลือคือเราแคร์สิ่งแวดล้อม แคร์คนอื่นแล้ว แต่เราอย่าลืมมองว่า การผลิบานออกมาได้หนึ่งครั้งมันไม่ง่ายนะ
เราก็เลยรู้สึกว่าทุกเพลงที่เวลามันให้อะไรกับคนฟัง มันคือกำไรล้วน ๆ มันเหมือนคนฟังคนแรกคือเรา คือผู้แต่ง ไม่ว่าคุณจะแต่งไปด้วยเหตุผลทางธุรกิจ หรือทางอะไรก็แล้วแต่ มันให้คุณค่ากับผู้แต่งอยู่แล้ว
กำไรก็คือการที่เราส่งไอสิ่งนี้ไปถึงคนคนนึงได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม?
ใช่ เพราะพอมันเป็นเพลง เสียงมันจะดังกว่าเสียงที่เราพูดกันแบบนี้อีกนะ ถ้าเรากำลังพูดถึงความรู้สึกในเพลง ‘เสียดาย’ ถ้าเราปรึกษาเพื่อน เราอาจจะปรึกษาเขาได้ประมาณนี้ แล้วมันก็จบไป แต่พอมันเป็นเพลง คิดดูสิ ว่ามันออกไปถึงคนกี่แสนคนได้ มันไป collect คนที่ความรู้สึกใกล้ ๆ กันให้เขารู้สึกว่าเขา secure หรือเพลง ‘ยินดีที่ได้พบเธอ’ คือถ้าเราบอกกับคนไม่กี่คนหรือบอกกับตัวเอง มันก็มีประโยชน์แล้วนะ แต่มันเจ๋งมั้ยล่ะ ถ้ามันมีประโยชน์ไปกับคนระดับแสนคน ก็เลยรู้สึกว่าแบบมันดีเนอะ จริง ๆ ดนตรีมันจะดูเหมือนธรรมดาก็ธรรมดา แต่มันก็ไม่ธรรมดา
แล้วเพลงของ Stoondio เป็นอะไรกับคนฟัง?
ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอก ก็เขียนไปเรื่อย ๆ เราชอบฟัง feedback มากกว่า แต่ไม่ได้ไปนั่งซีเรียสกับตัวเอง ว่าเขาจะต้องรู้สึกยังไง เอาเป็นว่าเราค่อนข้างจะ complete ตัวเอง ตั้งแต่ที่ฉันแต่งเสร็จแล้ว มันกลายเป็น default เราไปแล้ว ซึ่งเราโคตรขอบคุณเลย รู้สึกได้รับเกียรติมาก ๆ เพียงแต่ว่าเราไม่เอาข้อความตรงนั้นมาเผยแพร่สู่สาธารณะ เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เราควรแค่รับรู้ เราไม่ได้ต้องการให้มันเป็นการอวดอ้าง เพราะแค่นั้นก็ดีใจมากแล้ว มันก็ดีนะ มันเหมือนยา เพียงแต่มันไม่ได้ออกมาเป็นรูปแบบของเคมี มันเป็นมูลค่าที่เราประมาณไม่ได้ด้วยซ้ำ บอกไม่ได้เลยว่ามันรู้สึกดีขนาดไหน
ซึ่งเราก็คงจะใช้มูลค่านี้ในการขับเคลื่อนชีวิตด้วยนะ
มันก็คงเป็นเชื้อเพลงให้เรารู้สึกเราอยากทำต่อมั้ง คือคนเราอ่ะ เวลามันทำอะไร ลึก ๆ มันไม่มีทางหรอกที่เราทำไปแล้ว ถ้ามันไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่เกิดความเคลื่อนไหว ยังไงคนเราก็จะหยุดทำนะ แต่ถามว่าบางคนทำเพลงแล้วไม่เป็นที่รู้จัก แต่มันเกิดความเคลื่อนไหวกับเขาไง เขาทำแล้วเขาฟีลกู้ด ต่อให้ไม่มีคนฟังเขาก็ทำต่อ เพราะมันเกิด motivation ในตัวเขา อย่างเราก็เกิด motivation กับตัวเราไปแล้ว แล้วมันดันเกิด motivation กับคนอื่นอีกที่ได้ยินมัน มันก็เลยขับเคลื่อนไปเรื่อยไง มันก็เลยเก้าปีไง เป็นคนขี้บ่นมาเก้าปีแล้วเนี่ย ในบทเพลงอ่ะ (หัวเราะ)
มันก็ยังดีที่มันมีคนที่ อ่ะ ไปกับกูด้วยเว่ย ยังฟังอยู่ ด้านนึงก็แบบเขาไม่เบื่อกันหรอวะ แต่สักพักนึง เราก็ไม่ได้เบื่อตัวเองไง เพราะบางทีมนุษย์เรามันก็ไม่ได้ต้องการความหลากหลายอะไรขนาดนั้นหรอก อารมณ์มันก็ซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่เปลี่ยนเรื่อง ก็เลยยังสนุกอยู่ เพราะบ้านเมืองมันก็ยังมีอะไรให้เราตั้งคำถามเยอะมากมาย ถ้าเรายังไม่ตายจากไปซะก่อน
ความ ‘จริง’ ในเพลงของ Stoondio
เราเป็นคนชอบความจริง ไม่ชอบอะไรเพ้อฝัน ดูหนังยังไม่ดูแฟนตาซีเลย ชอบดูหนังคนคน อ่ะ เราไม่ใช่คนมีจินตนาการล้ำเลิศนะ ไม่ใช่สายนั้น แต่เพลง Stoondio มันคือการเล่าความจริงมั้ง หรือแม้กระทั่งตัวเราเองเวลาที่ใครมาปรึกษา เวลาที่เขามีปัญหา หรือเขาไม่อยากเสียใจ เราก็จะบอกไปว่า จริง ๆ มันต้องเสียใจนะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ควรจะต้องเสียใจ ถ้าไม่เสียใจสิแปลก คือพยายามมองอะไรแบบนี้ให้มันเป็นเรื่องธรรมดา แค่มองว่าการแสดงออก ความรู้สึกนึกคิดเรามันไปกระทบกระทั่งใครรึเปล่า ส่วนปัญหาว่าเดี๋ยวเขาจะมองว่า เขาจะนู่นนี่นั่น นั่นคือปัญหาของเขา ปัญหาของเราเราไปแคร์เขามากเกินไปรึเปล่า มีบ้างได้ แต่ก็อย่ามากไป
เราใช้ชีวิตบนพื้นฐานความชอบคนอื่นไม่ได้ เพราะจริง ๆ แล้วทุกคนมันต้องจัดการกับตัวเอง เราจะต้องเลิกวัฒนธรรมการแคร์คนอื่นมากเกินไป โดยที่ไม่ได้พูดความจริงกัน อันนั้นไม่ได้
ให้เชื่อมั่นในความรู้สึกตัวเองที่แท้จริง แล้วก็เคารพมัน แคร์คนอื่นได้ในระดับนึง แต่สุดท้ายเราต้องเคารพตัวเอง เพราะไม่งั้นสุดท้ายคุณร่อยหรอ ใจคุณพัง
‘Key Message’ ของ ‘ตูน Stoondio’
เราว่าคือความรับผิดชอบ คนเราละทิ้งความรับผิดชอบกับอะไรไม่ได้ เราชอบทำเพลง เราก็รับผิดชอบกับสิ่งที่เราทำ คำว่ารับผิดชอบมันเป็นคำที่ใหญ่นะ มันเป็นคำที่ทำให้เราทำอะไรแล้วเราไม่หยุดกลางทาง ยุคนี้มันเยอะมาก ที่เราลองไปเรื่อย ไหลไปเรื่อย แล้วเราไม่ทำแล้ว เราดูเค้าไม่สุด มันเต็มไปด้วยความเฟล ไม่ได้หรอก บางครั้งกลับมาคิดว่าเราตัดสินใจเดินออกจากตรงนี้เร็วไปไหมเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ รับผิดชอบในความชอบตัวเอง
ความชอบของตัวเองมันก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบเขานะ เราอุตส่าห์เกิดมาเพื่อรู้ตัวเองแล้วว่าเราชอบอะไร เราก็ต้องเคารพเขาต้องรับผิดชอบกับความรู้สึกนี้ด้วย ไม่ว่าจะมีคนเห็นมากเห็นน้อยอะไรก็ตาม อย่างน้อยเราต้องรู้สึก fulfilled กับตัวเอง
รับฟังบทสัมภาษณ์เต็มรูปแบบของ The Key Message EP.4 - ‘เพราะความรับผิดชอบ คือสิ่งที่ทำให้เราไม่หยุดอยู่กลางทาง’ ได้ที่ 🖥️ YouTube: https://youtu.be/9LMWJxcWqIA 🎧 SoundCloud: https://bit.ly/3FMeqgh 🎧 Spotify: https://spoti.fi/2Xe4ElC 🎧 PodBean: https://bit.ly/3G0coth 🎧 Apple Podcasts: https://apple.co/2YPjuQx
Related Articles
คนไทยชอบดูอะไรบน YouTube?
Google Data มีการสำรวจการใช้งาน YouTube ในช่วงที่ผ่านมา ที่หลายคนกักตัวอยู่บ้าน รายงานข้อมูลเดือนมิถุนายน 2563 พบว่า เวลาในการชม…
5 สัญญาณที่บอกว่า เรากำลังหมดความรักในตัวเอง
ส่อง 5 สัญญาณเตือนที่กำลังบ่งบอกว่า คุณกำลังหลงลืมที่จะมอบความรักให้กับตัวเอง ส่วนจะมีสัญญาณอะไรบ้าง ต้องอ่าน !!
สรุปมาให้แล้ว! กับ 5 สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มต้นโปรโมท TikTok
TikTok หนึ่งในแพลตฟอร์มมาแรง ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกและใช้งานได้ทุกเพศ ทุกวัย แน่นอนว่าแบรนด์ต่าง ๆ ก็อยากจะเข้ามาเพื่อโปรโมทหรือโฆษณา TikTok
สีสันการตลาด Thailand Zocial Awards 2020
กล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะ ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลอันดับ 1…
Expectation Management ตอน2 ทำของดีมากไปก็เท่านั้น ถ้าพลาดแค่สิ่งเดียว
มาต่อกันในตอนที่สองนะครับ ซึ่งเรื่อง Expectaton Management หรือการจัดการกับความคาดหวังนี้ถ้าใครยังไม่ได้อ่านตอนแรก แนะนำให้ไปลองอ่านดูก่อนนะครับ Expectation Management ตอน 1 จัดการกับการคาดหวัง…
ทำงาน 5 วันไปทำไม เมื่อทำสัปดาห์ละ 4 วันดีกว่า
ใครอยากหยุดอาทิตย์ละ 3 วัน ทำงานอาทิตย์ละ 4 วันบ้าง ยกมือขึ้น! หากถามแบบนี้ไม่ว่าพนักงานคนไหนก็ต้องรีบยกมือยิ้มรับแน่
เปลี่ยนอนาคตด้วยการเรียบเรียงเรื่องเล่าของตัวเองใหม่
มีหลายคนที่เจ็บปวดทรมานอยู่กับกับความเชื่อหรือความเข้าใจผิดๆ ว่าตัวเราล้มเหลว และไม่สามารถจะฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นมาเหมือนเดิมได้
เทรนด์ Customer Insight ครึ่งปีหลัง จะเป็นอย่างไร?
รู้หรือไม่? บริษัทที่จะ Most Powerful มากที่สุด คือบริษัทที่มี ‘Data’ มากที่สุด
ต่อไปยุคของธุรกิจที่ต้องการจะเข้าใจ รู้ใจลูกค้า ต้องมี ‘Data’ ในมือมากยิ่งขึ้น…วันนี้ CREATIVE TALK จะมาสรุปเทรนด์ Customer Insight ครึ่งปีหลัง และการหา Customer Insight หลังจากนี้โดยคุณต่อ-ณัฐกรณ์ รัตนชัยสิทธิ์ CEO of Predictive
WISESIGHT อัปเดตล่าสุด! 10 อันดับแบรนด์ ที่ทำผลงานบนโซเชียลมีเดียสูงสุดในช่วงครึ่งปีแรกของ 2021
แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกของ 2564 การขับเคลื่อนธุรกิจจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้แบรนด์ต้องวางกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อข้ามผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปให้ได้